สรุปบทที่
3
การแก้ปัญหาทางธุรกิจด้วยระบบสารสนเทศ
(Solving
Business Problems with Information Systems)
แนวคิดเชิงระบบ(systems
Approach)
การใช้อินเทอร์เน็ตและเว็บไซท์
แสดงถึงการปฏิวัติการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวงการธุรกิจ
จากการคิดค้นของบริษัทวิจัยการตลาดของ NFO โดยใช้เครื่องมืออำหน่วยความสะดวกในการสนทนาบนอินเทอร์เน็ตของ TalkCity ซึ่งจะเห็นได้ว่า
เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการทำงานของกลุ่มเป้าหมายออนไลน์ ช่วยในการพฒันาสินค้า ช่วยสนับสนุนด้านลูกค้าหรืองานอื่นๆ
กำหนดปัญหาและแนวทางการแก้ไข (Defining
Problems Opportunities)
ปัญหาและแนวทางแก้ไขได้ถูกกำหนดให้เป็นขั้นตอนแรกของแนวคิดเชิงระบบปัญหา
สามารถให้คำจำจัดความได้ว่าเป็นภาวะพื้นฐานที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการ
แนวทางแก้ไขคือ
ภาวะพื้นฐานที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ สัญณานบอกเหตุ
หมายถึง ปัญหาสำคัญที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงแต่มีแนวโน้มว่าจะเกิด
การคิดอย่างระบบ(Systems
Thinking)
การคิดอย่างเป็นระบบ
ทำให้เข้าใจปัญหาและโอกาสในการแก้ไขที่ดีที่สุด ปีเตอร์ เซนก์ นักเขียน
และที่ปรึกษาทางด้านการจัดการ เรียกการคิดอย่างเป็นระบบว่าเป็น กฎข้อที่ 5 เซนก์ กล่าวว่า การจัดการคิดอย่างเป็นระบบไปพร้อมกับกฎข้ออื่นๆ
ได้แก่การควบคุมตนเอง การไม่อคติและไม่ท้อแท้
การแบ่งปันวิสัยทัศน์ร่วมกันการเรียนรู้เป็นทีมงาน
การพัฒนาทางเลือกในการแก้ปัญหาอื่นๆ(Developing
Alternative Solutins)
มีแนวทางในการแก้ปัญหาหลายวิธี
อย่าใช้วิธีแก้ปัญหาเพียงวิธีเดียวหลังจากที่กำหนดปัญหาอย่างเร่งรีบเพราะมันจะจำกัดทางเลือกของคุณและขโมยโอกาสในการวิเคราะห์ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของทางเลือกอื่นๆ
และคุณยังเสียโอกาสในการรวบรวมข้อดีของแต่ละแนวทางอีกด้วย
ประเมินทางเลือกในการแก้ไขปัญหาอื่น(Evaluating
Alternative Solutions )
เมื่อทางเลือกในการแก้ไขปัญหาได้ถูกพัฒนาขึ้น
ให้ประเมินหาข้อสรุปหาวิธีทางในทางแก้ไขปัญหาใดที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจและความต้องการของบุคลากรมากที่สุด
ความต้องการเหล่านี้คือกุญแจสำคัญที่จำเป็นต่อความสำเร็จทั้งด้านบุ๕ลากรและธุรกิจ
การเลือกแนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด(Select
the Best Solution)
เมื่อประเมินแนวทางในการแก้ไขปัญหา
คุณสามารถเริ่มกระบวนการการคัดเลือกแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมที่สุด
โดยสามารถประเมินเปรียบเทียบจากหลักเกณฑ์เดียวกัน เช่น
สองทางเลือกสามารถตรวจสอบและให้คะแนน
เพื่อเลือกและปฎิเสธโดยขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในแต่ละหัวข้อหรือคะแนนโดยรวม
การออกแบบและนำแนวทางในการแก้ไขปัญหาไปใช้จริง(Design
and Implementing a solution)
แผนการนำไปประยุกต์ใช้ที่กำหนดแหล่งข้อมูล กิจกรรม
และระยะเวลาสำหรับขั้นตอนการนำไปใช้ที่เหมาะสม
ดังนั้นการออกแบรายละเอียดและแผนการนำไปประยุกต์ใช้สำหรับระบบการส่งเสริมการขายด้วยคอมพิวเตอร์
ควรประกอบด้วยประเภทและแหล่งของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์
และซอฟแวร์ที่ต้องจัดหาสำหรับพนักงานขาย
ขั้นตอนในการสนับสนุนระบบการขายใหม่
การฝึกอบรมพนักงานอื่นๆ
การปรับระบบเดิมเข้าสู่ระบบใหม่
และกำหนดตารางเวลาในการนำไปใช้จริง
การใช้แนวคิดเชิงระบบ(Postimplementation
Review)
ขั้นตอนสุดท้ายของแนวคิดเชิงระบบ
คือ การตระหนักว่าแนวทางแก้ปัญหาที่นำไปใช้อาจล้มเหลวได้
ในโลกแห่งความเป็นจริงอาจมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ผลที่ได้จากการนำวิธีการแก้ปัญหาไปประยุกต์ใช้ครวถูกจับตามองและประเมิน
เรียกขั้นตอนนี้ว่ากระบวนการทบทวนหลังการนำไปใช้
เป้าหมายคือการหาข้อสรุปของการนำไปใช้จริงที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์
การใช้แนวคิดเชิงระบบ(Using
the systems Approach)
ลองนำแนวคิดเชิงระบบมาประยุกต์สู่แนวทางแก้ไขปัญหากับบริษัทที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในโลกธุรกิจอ่านกรณีศึกษาและร่วมกันวิเคราะห์
โดยใช้แนวคิดเชิงระบบแก้ไขปัญหาในแต่ละขั้นตอน
Auto Shack Stores:การแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ(Solving
a Business Problem)
Auto Shack Stores เป็นสาขาของร้านขายชิ้นส่วนรถยนต์และประดับยนต์ในรัฐอริโซนา
มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฟินิกซ์ มี 14 สาขาในระยะเวลา 10 ปี พบปัญหาอัตราการเติบโตของยอดขายตกลงเมื่อเทียบกับที่คาดหการณ์ไว้
ผลประกอบการที่ได้เมื่อต้นปี 1998 ชี้ให้เห็นว่าอัตราการเติบโตของการขายตกลงอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าจะได้เพิ่มสาขาอีก 2 แห่งในปี 1997 ก็ตาม
ทีมของผู้จัดการร้านและนักวิเคราะห์ระบบจากฝ่ายบริการสารสนเทศได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้
POS
เพื่อวางแผนระบบการขายใหม่บนพื้นฐานการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้โดยสำรวจกระบวนการขายของพนักงานขายแต่ละราย
สัมภาษณ์ผู้จัดการ พนักงานขาย และพนักงานแผนกอื่นๆ
การกำหนดปัญหา(Defining
the Problem)
มีสัญณานบอกเหตุถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับ
Auto
Shack ในอนาคต คือ สัญณานบอกเหตุด้านผลปฏิบัติการด้านการขาย สัญณานบอกเหตุด้านการทำงานของพนักงาน
สัญณานบอกเหตุด้านการจัดการ
ความชัดเจนของปัญหา(Statement
of Problem)
ผู้จัดการ พนักงานขาย
และลูกค้าได้รับสารสนเทศด้านสินค้าและบริการไม่ดีเท่าที่ครวผลปฏิบัติงานด้านการขายในหน่วยงานเกิดความเสียหายจากกระบวนการขายที่ลดลง
จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพยายามหาข้อมูล ทำให้ลดเวลาในด้านบริหาร ด้วยเหตุนี้
คุณภาพของการตัดสินใจด้านการตลาดและผลงานด้านการขายของบริษัทจึงยังคงมีปัญหาอยู่เช่นเดิม
ความชัดเจนของความต้องการทางธุรกิจ(Statement
of Business Requirements)
ระบบ POS
คือกำหนดฐานงานเป็นไปได้ในการสนับสนุนบทบาทของระบบสาระสนเทศ
แผนการนี้ยังได้กำหนดความต้องการด้านอื่นๆเพื่อให้เข้ากับเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่
การประเมินของแนวทางการแก้ไขปัญหา(Evaluation
of Solution 1 )
ประเมินแนวทางแก้ไขปัญหาแบบที่ 1
(Evaluation of Solution 1 )
ข้อได้เปรียบ(Advantages)
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการอบรมพนักงานใหม่ต่ำ
สะดวกและมีคู่มือที่ง่ายแก่การใช้ของพนักงานขาย
การเพิ่มยอดขายขึ้นอยู่กับพนักงานขายของพนักงานแต่ละคน
ข้อมูลที่ผู้จัดการได้รับจะนำไปสู่การใช้ในการบริหาร
ข้อเสียเปรียบ(Disadvantages)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
กระบวนการในการขายใช้เวลาสำหรับ
พนักงานขายแต่ละราย
ข้อมูลด้านการขายไม่เป็นปัจจุบัน
ไม่สามารถใช้ได้กับระบบการตลาดที่ทันสมัย
ไม่สามารถใช้ได้กับแผนขององค์กรที่ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อลดค่าใช้จ่าย
หลักการสำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาที่เลือก(Rationale
for the Select Solutions)
Auto Shack store ครวพัฒนาระบบสารสนเทศการขายแบบ POS ซึ่งจะทำให้กระบวนการขายของพนักงานสะดวกรวดเร็วขึ้นและช่วยผู้จัดการให้ได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการได้ทันท่วงที
Millipore Corporation: วิเคราะห์ความต้องการเว็บไซท์
Milliporeเป็นบริษัทที่ไม่ต้องการใช้วิธีการหาคำตอบด้วยการเดาความต้องการส่วนประกอบและการใช้งานต่างๆที่จะเพิ่มในเว็บไซท์ของบริษัทผู้จัดการด้านสื่อสารองค์กร
สำนักงานใหญ่ที่จะสอบถามความต้องการของลูกค้าเพื่อให้ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
แนวทางในการแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาระบบสารสนเทศ(Developing
Is Solution)
ในทุกวันนี้การแก้ไขปัญหาทางธุรกิจด้วยการพฒันาระบบข้อมูล
เป็นความรับผิดชอบของนักธุรกิจมืออาชีพ และในฐานะผู้ใช้
คุณสามารถรับผิดชอบสำหรับการวางแผนเพื่อพัฒนาระบบใหม่หรือปรับปรุงระบบสารสนเทศเดิมสำหรับบริษัทของคุณ
วงจรการพัฒนาระบบ(Systems
Development cycle)
การใช้แนวคิดเชิงระบบเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาการพัฒนาระบบสารสนเทศเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนที่เรียกว่า
วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศหรือวงจรชีวิตของการพัฒนาระบบ
การเริ่มกระบวนการพัฒนาระบบ(Starting
the Systems Development Process)
การดำเนินธุรกิจมีปัญหา(หรือมีโอกาส)ไหมอะไรเป็นต้นเหตุของปัญหานั้น
การสร้างหรือปรับปรุงระบบจะช่วยแก้ไขปัญหาได้หรือไม่
อะไรที่ระบบสารสนเทศจะช่วยแก้ไขปัญหา
การศึกษาความเป็นไปได้(Feasibility
Studies)
การศึกษาความเป็นไปได้
เป็นการศึกษาขั้นต้นเพื่อสืบค้นหาความต้องการของสาระสนเทศในมุมมองของผู้ใช้และหาข้อสรุปของแหล่งข้อมูลที่ต้องการ
ราคา ผลประโยชน์ที่จะได้รับและความเป็นไปได้ของโครงการ
การวิเคราะห์ระบบ(Systems
Analysis)
การวิเคราะห์ระบบเมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการพัฒนาระบบงานใหม่อย่างรวดเร็วหรือเกี่ยวข้องกับโครงการระยะยาว
การวิเคราะห์องค์กร(Organizational
Analysis)
การวิเคราะห์องค์กร
เป็นก้าวแรกที่สำคัญของการวิเคราะห์ระบบ
จะปรับปรุงระบบสารสนเทศได้อย่างไรหากไม่รู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อมในองค์กรที่จะทำการวิเคราะห์ระบบ
การวิเคราะห์ระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน(Analysis
of the Present Systems)
สิ่งสำคัญที่จะต้องศึกษา คือ
ระบบเดิมที่จะปรับปรุงหรือถูกแทนที่วิเคราะห์การใช้ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ เครือข่าย
และบุคลากร เพื่อจะทำการถ่ายโอนข้อมูลเดิม
การวิเคราะห์ความต้องการในการใช้งาน(Functional
Requiremeents Analysis)
ขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบนั้นเป็นส่วนที่ยากที่สุด
คุณอาจต้องทำงานเป็นทีมกับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ใช้อื่นๆเพื่อหาข้อสรุปในความต้องการสารสนเทศที่เฉพาะเจาะจง
การออกแบบระบบ(Systems
Desing)
การวิเคราะห์ระบบ
แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ระบบควรทำ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
การกำหนดรายละเอียดของระบบ(System
Specifications)
การกำหนดรายละเอียดของระบบ
โดยทั่วไปหมายถึง วิธีการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ของระบบงาน
การสร้างต้นแบบ(Prototyping)
การสร้างต้นแบบ
เป็นพัฒนาการที่รวดเร็วและเป็นการทดสอบการทำงานของแบบจำลองหรือต้นแบบของระบบงานใหม่
การใช้งานระบบสารสนเทศใหม่(Implementation
a New Information System)
เมื่อระบบสารสนเทศใหม่ได้ถูกออกแบบแล้วก็จะนำไปใช้งานจริงแสดงให้เห็นขั้นตอนการนำระบบใหม่ไปใช้
การบำรุงรักษาระบบสารสนเทศ(Maintenance
of Information Systems) การบำรุงรักษาระบบ
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวงจรการพัฒนาระบบเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสำรวจ ประเมิน
และปรับเปลี่ยนระบบเพื่อให้เป็นตามที่ต้องการ
คอมพิวเตอร์ช่วยงานด้านวิศวกรรมระบบ(Computer-Aided
Systems Engineering:CASE) คอมพิวเตอร์ช่วยงานด้านวิศวกรรมระบบ
หรือคอมพิวเตอร์ช่วยงานด้านวิศวกรรมซอฟแวร์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ซอฟแวร์สำเร็จที่เรียกว่า
เคสทูลเพื่อจัดการกับงานของวงจรการพัฒนาระบบ
การใช้เคสทูล(Using
CASE Tools)
ความสำคัญของเคสทูลที่เป็นเครื่องมือช่วยในงานส่วนหน้าของวงจรการพัฒนาระบบและงานส่วนหลังของการพัฒนาระบบ
การพัฒนาระบบโดยผู้ใช้(End
User Development)
สามารถสร้างแนวทางใหม่หรือปรับปรุงระบบงาเดิมโดยปราศจากความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศได้การเน้นเรื่องภารกิจระบบสารสนเทศ(Focus
on Activities) การพัฒนาผู้ใช้ควรจะมุ่งเน้นเรื่องพื่นฐานของระบบสารสนเทศ
♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡
แบบฝึกหัดท้ายบทที่
3
1.
นักศึกษาสามารถใช้แนวคิดเชิงระบบในการแก้ไขปัญหา
เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาทางด้านการตลาด ทางด้านการเงิน
ทางด้านทรัพยากรมนุษย์หรือไม่ จงอธิบาย ?
ตอบ
ใช้ การแก้ปัญหาด้วยวิธีการเชิงระบบ เป็นหลักการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนนั้นบางครั้งเราเรียกว่า
การแก้ปัญหาเชิงระบบ(System Approach)ซึ่งเป็นกระบวนการในการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนที่สามารถใช้เป็นหลักการ
ได้กับปัญหาทุกปัญหา เราสามาถแยกเป็นขั้นตอนต่างๆได้ดังนี้
1. การแยกแยะและทำความเข้าใจปัญหา
ขั้นตอนแรกสุดของการแก้ปัญหาเชิงระบบ
คือ การแยกแยะและทำความเข้าใจถึงปัญหา เราอาจนิยามความหมายของปัญหาได้ว่า ปัญหา
คือ เงื่อนไขที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการ
การทำความเข้าใจถึงปัญหานั้นจะต้งคิดอย่างเชิงระบบ
2. พัฒนาวิธีการแก้ปัญหาเผื่อเลือก
เมื่อเข้าใจโจทย์ชัดเจนแล้ว
สิ่งที่ผู้แก้ปัญหาต้องทำในขั้นต่อไปคือ การหาวิธีการแก้ปัญหา อาจจะทำได้หลายวิธี
แต่ก่อนจะแก้ปัญหาต้องพิจารณาปัญหานั้นๆให้ดีเสียก่อน
เช่นในการเปรียบเทียบของข้อได้เปรียบหรือข้อเสียเปรียบในทางเลือกต่างๆ
3. การประเมินทางเลือกหรือวิธีการ
เมื่อหาวิธีการในการแก้ปัญหาได้หลายวิธีมาแล้ว
ขั้นตอนต่อไปก็คือ การเลือกวิธีการที่ดีที่สุดจาก วิธีการที่เลือกมา
เพราะวิธีการที่ดีสำหรับปัญหาหนึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีการที่ดีสำหรับอีกปัญหาหนึ่ง
เพราะปัญหาต่างๆ จะอยู่ในสภาวะแวดล้อม เงื่อนไข ข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน
เราจึงต้องทำการประเมินวิธีการที่เลือกมาเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุด
วิธีการประเมินที่ดีที่สุดก็คือ การแยกแยะว่าวิธีต่างๆ นั้น
แก้ปัญหาได้ตรงตามความต้องการเพียงใด ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆอันเดียวกัน
4. การเลือกวิธีที่ดีที่สุด
ในการเลือกวิธีนั้น
เราอาจไม่เลือกวิธีการที่ดีที่สุดจากการเปรียบเทียบก็ได้
ทั้งนี้อาจจะมาจากเงื่อนไขและข้อจำกัดอื่นๆ เช่น เงื่อนไขทางกฎหมาย ทางการเมือง
ทางการเงินที่ไม่สามารถคาดเดาได้ บางครั้งทุกวิธีการที่เลือกมาอาจ
ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ทำให้ต้องหาวิธีการอื่นๆ และทำการประเมินใหม่ก็ได้
5.นำวิธีการที่เลือกไปใช้ในการแก้ปัญหา
หลังจากได้วสิธีการแก้ปัญหามาแล้วผู้แก้ปัญหาก็จะนำวิธีการที่เลือกมานั้นไปออกแบบ
เป็นกระบวนการปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหา ในขั้นตอนนี้ เราอาจต้องอาศัยความร่วมมือ
จากคนอื่นๆในระบบหรือฝ่ายเทคนิคมาช่วย ในการออกแบบวิธี การตลอดจนการนำไป
ใช้ได้จริง ขั้นตอนการออกแบบจะเป็นขั้นตอน ที่จะกำหนดรายละเอียดและความสามารถ
ของบุคลากร ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล และงานของระบบสารสนเทศที่ระบบใหม่ต้องหาร
2. ทำไมนักศึกษาจึงคิดว่า
การจัดทำต้นแบบ (Prototyping) จึงกลายมาเป็นที่นิยมในการพัฒนาระบบใหม่ทางธุรกิจที่มีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นพื้นฐาน
?
ตอบ การจัดทำต้นแบบ
(Prototyping)
ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจระบบได้ง่ายขึ้น สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดระหว่างผู้ใช้และผู้พัฒนาระบบ
ผู้พัฒนาระบบสามารถสร้างรายละเอียดที่ถูกต้องได้
ผู้จัดการระบบสามารถประเมินแบบจำลองในการใช้งานได้
นักวิเคราะห์ระบบสามารถใช้ต้นแบบในการทดสอบระบบและการทำงานในแต่ละขั้นตอน
ต้นแบบสามารถลดความเสี่ยงในการทำระบบได้ มี
2 วิธี
1. System Prototyping คือการสร้างแบบจำลองการทำงานของระบบสารสนเทศที่มีรูปแบบครบตามการทำงานจริงและจะถูกนำไปพัฒนาต่อ
2. Design Prototyping หรือ Throwaway Prototyping คือการสร้างแบบจำลองเพื่อตรวจสอบความต้องการของผู้ใช้
หลังจากผู้ใช้เห็นด้วยกับการออกแบบ ต้นแบบนั้นจะไม่มีการนำมาใช้อีก
และการพัฒนาจะทำต่อจากการออกแบบ
3. ให้นักศึกษาอธิบายว่า
ปัจจุบันมีการนำการจัดทำต้นแบบเข้ามาแทนที่ หรือมาเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศ ?
ตอบ
การนำการจัดทำต้นแบบเข้ามาแทนที่ หรือมาเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อใช้แก้ปัญหา
หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหน่วยงาน และให้การทำงานมีประสิทธิภาพตอบสนองต่อความต้องการ
ของผู้ใช้งาน โดยอาจนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการ ดำเนินงาน คือการประมวลผล
เรียบเรียง รัดเก็บข้อมูล เปลี่ยนแปลง เพื่อให้โต้สารสนเทศที่ถูกต้องครบถ้วน
5. มีซอฟต์แวร์ประยุกต์อะไรบ้าง
ที่ผู้ใช้สามารถนำมาประยุกต์ใช้พัฒนาธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ต เว็บไซท์ ?
ตอบ
ซอฟต์แวร์ประยุกต์แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน เป็น Software
ที่ใช้สำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น Software สำหรับงานธนาคารการฝากถอนเงิน
Software สำหรับงานทะเบียนนักเรียน ซอฟต์แวร์คิดภาษี
ซอฟต์แวร์การให้บริการร้าน Seven ฯลฯ
2.
ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับงานทั่วไป โดยในซอฟต์แวร์ 1
ตัวมีความสามารถในการทำงานได้หลายอย่าง เช่น ซอฟต์แวร์งานด้านเอกสาร (Microsoft
Word ) มีความสามารถในการสร้างงานเอกสารต่าง ๆ จัดทำเอกสารรายงาน
จัดทำแผ่นพับ จัดทำหนังสือเวียน จัดทำสื่อสิ่งพิมพ์
ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับทำงานต่าง
ตามที่ต้องการ สามารถนำมาประยุกต์ใช้พัฒนาธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ต
เว็บไซท์ เช่น การทำงานเอกสาร งานกราฟิก งานนำเสนอ หรือเป็น Software
สำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมงานทะเบียน โปรแกรมการให้บริการเว็บ
โปรแกรมงานด้านธนาคาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น